วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

แมงป่อง


จากการจำแนกทางชีววิทยา แมงป่องเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัม Arthropoda คลาส Scorpionida เป็นสัตว์พิษที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ยืนยันได้จากการค้นพบฟอสซิลของแมงป่องที่มีอายุถึง ๔๔๐ ล้านปี เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum เป็นต้น
     
ปัจจุบันทั่วโลกมีแมงป่องประมาณ ๑,๒๐๐ ชนิด (species) อยู่กระจัดกระจายเกือบทั่วไป ไม่ว่าเป็นเขตทะเลทราย (desert) เขตร้อนชื้น (tropic) หรือแม้แต่แถบชายฝั่งทะเล ยกเว้นเพียงเขตขั้วโลกเหนือ (Arctic) และขั้วโลกใต้ (Antarctica) เท่านั้นที่ไม่พบแมงป่อง และพบชนิดที่มีพิษร้ายแรง ๕๐ ชนิด บางชนิดมีพิษรุนแรงมาก เช่น แมงป่องในสกุล Centruroides ที่รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกา พิษของมันสามารถทำให้เด็กและผู้สูงอายุที่ถูกต่อยเสียชีวิตได้ แมงป่องที่มีพิษรุนแรงสกุลอื่น พบในบราซิล เม็กซิโก และทะเลทรายซาฮาร่า
     
ส่วนในประเทศไทย ที่พบบ่อยมากที่สุด คือ แมงป่องในอันดับ Scorpiones (หรือ Scorpionida) วงศ์ Scorpionidae สกุล Heterometrus ได้แก่ H. longimanus และ H. laoticus พบ H. laoticus มากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แมงป่องในสกุลนี้เป็นแมงป่องที่มีขนาดใหญ่สกุลหนึ่งของโลก ทั้งสองชนิดมีสีดำสนิท ขนาด ๙-๑๒ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๑๐-๑๒ กรัม มีอายุราว ๓-๕ ปี และจำแนกจากกันได้ยาก จึงเรียกกันทั่วไปว่า Giant scorpion หรือ Asian forest scorpion หรือ Black scorpion หรือ "แมงป่องช้าง" ในภาษาไทย หรือ "แมงเงา" ในภาษาอีสาน นอกจากนี้ยังมีแมงป่องที่อยู่ในวงศ์ Buthidae สกุล Isometrus พบตามบ้านเรือน มักมีสีน้ำตาลอ่อน แล้วมีลายดำหรือน้ำตาลคาด จึงเรียกว่า Striped scorpion ขนาดไม่เกิน ๕ เซนติเมตร เรียกทั่วไปว่า"แมงป่อง" หรือ"แมงงอด" ในภาษาอีสาน
     
พฤติกรรมส่วนหนึ่งที่ทำให้แมงป่องดูลึกลับ ก็เพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่าง มักจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่มืดและชื้น เช่น ใต้ก้อนหิน ใต้กองไม้ ใต้ใบไม้ หรือขุดโพรงหรือรูอยู่ตามป่าละเมาะ และออกหากินในเวลากลางคืน จนบางคนตั้งสมญามันว่า "เพชฌฆาตยามราตรี"

                 
                        ร่างกายแมงป่องช้าง                                               
                       แมงป่องช้างเป็นสัตว์มีเปลือกแข็งหุ้ม ลำตัวเรียว มีขาจำนวน ๔ คู่ อวัยวะที่โดดเด่น คือ "ก้ามใหญ่" (pedipalps) ๑ คู่ที่ดูทรงพลัง มันมีส่วนหัวและหน้าอกอยู่รวมกัน เรียกว่า"โปรโซมา" (prosoma) แมงป่องช้างมีตาบนหัวหนึ่งคู่ และตาข้างอีก ๓ คู่ ตรงปากมี"ก้ามเล็ก" (chelicera) คู่ ส่วนถัดมาเรียกว่า"มีโซโซมา" (mesosoma) ประกอบด้วยปล้อง ๗ ปล้อง ด้านหน้าท้องมีอวัยวะสำคัญคือ"ช่องสืบพันธุ์" (genital operculum) และมีอวัยวะที่เรียกว่า"เพคไทน์" (pectines) หรือ"เพคเท็น" (pectens) ๑ คู่ มีรูปร่างคล้ายหวี ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากการสั่นของพื้นดิน ส่วนสุดท้ายคือหางเรียวยาว เรียกว่า"เมตาโซมา" (metasoma) ประกอบด้วยปล้อง ๕ ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ"ปล้องพิษ" มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า"เหล็กไน" (sting apparatus) เสมือนเป็นเข็มเพชฌฆาต ฉีดพิษเพื่อคร่าชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
     
แม้ว่าแมงป่องมีตาหลายคู่ แต่มีประสิทธิภาพการมองเห็นต่ำมาก และไม่ไวพอจะรับแสงกระพริบได้ เช่น แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป และต้องใช้เวลานานในการปรับตาให้ตอบสนองต่อแสง สังเกตได้เมื่อมันถูกนำออกจากที่มืด ต้องใช้เวลานับนาทีจึงจะเริ่มเคลื่อนไหว
     
ข้อด้อยเรื่องสายตาได้ถูกทดแทนด้วยสิ่งอื่น หากสังเกตให้ดีจะพบว่าทั่วตัวแมงป่องปกคลุมด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะบริเวณปล้องเพชฌฆาต ขนเหล่านี้รับความรู้สึกจากการเคลื่อนไหวของอากาศ ทำให้แมงป่องไวต่อเสียงมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แมงป่องจะชูหางขึ้นทันทีที่มีเสียง หรือมีการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อมีเหยื่อหรือศัตรูเข้ามาใกล้ และสามารถมอบความตายให้กับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ

                 
                        เสน่ห์ที่แฝงอยู่                                                    
                          คนทั่วไปมักพบเห็นแมงป่องช้างภายใต้เปลือกสีดำทะมึน น้อยคนที่จะรู้ว่าในความน่ากลัวนั้นมีความงามซุกซ่อนอยู่ หากนำแมงป่องช้างไปไว้ภายใต้แสงอุลตราไวโอเล็ต เปลือกสีดำจะกลายเป็นสีเขียวเรื่อเรืองเปล่งประกาย ยิ่งหากมองดูพร้อมกันหลายตัว ก็ยิ่งเห็นเป็นสีเขียวเลื่อมพรายสวยงามมาก
     
ลักษณะพิเศษของแมงป่อง (ไม่เฉพาะแมงป่องช้าง) ที่ต่างไปจากสัตว์มีเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ เกิดจากสารชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบแน่นอน ฝังตัวอยู่เป็นชั้นบางๆ ในเปลือกของแมงป่อง สารชนิดนี้ทำให้เปลือกแมงป่องเรืองแสงสีเขียวภายใต้แสงอุลตราไวโอเล็ต ถึงแม้แมงป่องตายไปแล้วเป็นเวลานาน คุณสมบัติเรืองแสงนี้ก็ยังคงอยู่ จากฟอสซิลแมงป่องอายุหลายร้อยปีพบว่า แม้ว่าเปลือกจะไม่คงรูปร่างแล้ว แต่สารเรืองแสงยังคงฝังตัวติดกับหินฟอสซิล นอกจากนี้ ตัวอย่างดอง หรือแม้กระทั่งแมงป่องทอดที่มีขายทั่วไปในภาคอีสาน ยังคงมีการเรืองแสงอยู่แทบไม่แตกต่างจากแมงป่องที่มีชีวิตแม้แต่น้อย
     
กระทั่งปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่า แมงป่องมีคุณสมบัติการเรืองแสงแปลกประหลาดนี้ไปเพื่อประโยชน์อันใด

                 
                        เพชฌฆาตยามราตรี                                               
                   หลังตะวันตกดิน เมื่อความมืดมาเยือน เหล่าแมงป่องช้างจะออกจากที่ซ่อนตามโพรงดิน ซอกหลืบก้อนหิน ใต้ขอนไม้ หรือใต้กองใบไม้ลึกเร้น เพื่อรอคอยเหยื่อซึ่งมักเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดต่างๆ เช่น ตั๊กแตน, จิ้งหรีด, หนอน, ลูกจิ้งจก เป็นต้น
     
ทุกย่างก้าวของเหยื่อเคราะห์ร้ายผู้มาถึงลานประหาร ไม่อาจรอดพ้นจากการรับรู้ของขนเล็กๆ ทั่วตัวแมงป่องไปได้เลย เมื่อเหยื่อเข้ามาในระยะใกล้พอ ก้ามใหญ่สีดำทรงพลังก็หนีบฉับที่ตัวเหยื่ออย่างรวดเร็ว หากเหยื่อยังขัดขืน เหล็กไนปลายหางเพชฌฆาตก็จะทิ่มแทงเข้าที่ตัวเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแน่นิ่ง
     
แมงป่องต่อยและปล่อยน้ำพิษออกมาเพื่อทำให้เหยื่อตายหรือเป็นอัมพาต แล้วจึงเริ่มฉากการกินอาหาร ซึ่งดูสุภาพ เชื่องช้า แต่น่ากลัว เหยื่อที่ติดในก้ามใหญ่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยก้ามเล็ก แล้วถูกส่งเข้าปาก อาหารจะถูกอมไว้เป็นเวลานานก่อนจะถูกกลืนหายเข้าไป ระยะเวลาที่แมงป่อง"ละเลียด"อาหารแต่ละมื้อนานมาก อาจถึง ๑ ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
     
หลังอิ่มเอมจากแต่ละมื้อ แมงป่องจะไม่สนใจอาหารใด ๆ แม้จะมีเหยื่ออันโอชะมาวางอยู่ตรงหน้า และมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่กินเป็นเวลานาน อาจถึง ๑ หรือ ๒ สัปดาห์ เพราะแมงป่องเป็นสัตว์เลือดเย็นและมีอัตราเมแทบอลิซึมต่ำ นอกจากนี้ยังต้องการน้ำน้อยมาก บางครั้งเพียงน้ำจากอาหารที่กินเข้าไปก็พอต่อการดำรงชีวิต

ที่มา http://www.sarakadee.com/feature/2004/01/scorpions.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น