วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

NATURE | Silence of the Bees | Inside the Hive | PBS


ชีวิตในรังผึ้ง

ผึ้ง (Bee)

ผึ้ง จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด จัดเป็นแมลงชนิดหนึ่งอาศัยรวมกันอยู่เป็นฝูง โดยส่วนใหญ่จะออกหาอาหารเป็นน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชในการผสมพันธุ์ ผึ้งทำงานกันเป็นระบบ มีผึ้งนางพญาเป็นหัวหน้าใหญ่
มนุษย์รู้จักผึ้งมานาน 7000 ปีแล้ว กษัตริย์ Menes ของอียิปต์โปรดให้ผึ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งอาณาจักรของพระองค์
ลักษณะทั่วไปของผึ้ง แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ
  1. ส่วนหัว ประกอบด้วยอวัยวะรับความรู้สึกต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ
    1. ตารวม มีอยู่ 2 ตา ประกอบด้วยดวงตาเล็ก ๆ เป็นรูปหกเหลี่ยมหลายพันตา รวมกัน เชื่อมติดต่อกันเป็นแผง ทำให้ผึ้งสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้รอบทิศ
    2. ตาเดี่ยว อยู่ด้านบนส่วนหัว ระหว่างตารวมสองข้าง เป็นจุดเล็ก ๆ 3 จุด อยู่ ห่างกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งตาเดี่ยวนี้จะเป็นส่วนที่รับรู้ในเรื่องของความเข้มของแสง ทำให้ผึ้งสามารถแยกสีต่าง ๆ ของสิ่งของที่เห็นได้ ฟริช ดาร์ล ฟอน ได้ทำการศึกษาและพบว่าผึ้งสามารถเห็นสีได้ 4 สี คือ สีม่วง สีฟ้า สีฟ้าปนเขียว และสีเหลือง ส่วนช่วงแสงที่มากกว่า 700 มิลลิไมครอน ผึ้งจะมองเห็นเป็นสีดำ
    3. หนวด ประกอบข้อต่อและปล้องหนวดขนาดเท่า ๆ กันจำนวน 10 ปล้อง ประกอบเป็นเส้นหนวด ซึ่งจะทำหน้าที่รับความรู้สึกที่ไวมาก
  2. ส่วนอก จะกอบด้วยปล้อง 4 ปล้อง ส่วนด้านล่างของอกปล้องแรกมีขาคู่หน้า อมปล้องกลางมีขาคู่กลางและด้านบนปล้องมีปีกคู่หน้าซึ่งมีขนาดใหญ่หนึ่งคู่ ส่วนล่างอกปล้องที่ 3 มีขาคู่ที่สามซึ่งขาหลังของผึ้งงานนี้จะมีตระกร้อเก็บละอองเกสรดอกไม้ และด้านบนจะมีปีกคู่หลังอยู่หนึ่งคู่ที่เล็กกว่าปีกหน้า
  3. ส่วนท้อง ส่วนท้องของผึ้งงานและผึ้งนางพญาเราจะเห็นภายนอกเพียง 6 ปล้อง ส่วนปล้องที่ 8-10 จะหุบเข้าไปแทรกตัวรวมกันอยู่ในปล้องที่ 7 ส่วนผึ้งตัวผู้จะเห็น 7 ปล้อง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Insects แมลง

แมลง (Insects)
แมลง (Insect) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ใน Phylum Arthropoda จำแนกออกเป็นไฟลัมต่าง ๆ ได้ 13 กลุ่ม มีลักษณะสำคัญคือมีลำตัวเป็นปล้อง ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลำตัวทั้งสองด้านซ้ายขวามีความเหมือนและมีขนาดเท่ากัน มีเปลือกห่อหุ้มลำตัวด้วยสารไคติน (Chitinous Exoskeleton) ไม่มีขน หายใจแบบใช้เหงือกหรือใช้รูหายใจ มีวัฎจักรวงจรชีวิตในการเจริญเติบโตแบบไข่ มีการลอกคราบเป็นบางครั้งแล้วสร้างผนังหรือเปลือกห่อหุ้มลำตัวใหม่ มีรยางค์เป็นคู่และเป็นปล้อง ส่วนใหญ่นักกีฏวิทยามักใช้รยางค์ในการแบ่งเพศผู้เพศเมียของแมลง
มีอวัยวะภายในที่มีท่อทางเดินอาหารเป็นท่อยาวตลอดจากปากไปถึงทวารหนัก ระบบเลือดเป็นแบบเปิดและมีท่อเลือดอยู่ทางด้านสันหลังเหนือระบบทางเดินอาหาร มีระบบประสาทที่ประกอบไปด้วยสมองอยู่เหนือท่ออาหาร มีเส้นประสาทขนาดใหญ่หนึ่งคู่เชื่อมต่อจากสมอง มีการรวมตัวเป็นระยะก่อเกิดเป็นปมประสาท เส้นประสาทขนาดใหญ่ของแมลง จะอยู่ทางด้านล่างของลำตัวใต้ท่ออาหาร มีกล้ามเนื้อแบบเรียบอยู่ตามลำตัว
มีการหายใจแบบใช้ท่ออากาศ ซึ่งจะติดต่อผ่านเข้าออกข้างลำตัวทางรูหายใจ มีอก 2 คู่ มีท้อง 8 คู่ โดยมีปล้องละ 1 คู่ ขับถ่ายของเสียจากร่างกายทางท่อขับถ่าย มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปร่างเพื่อการเจริญเติบโตจากตัวอ่อนที่ฟักจากไข่จนกลายเป็นตัวโตเต็มวัย

ลักษณะทั่วไป

ลักษณะทั่วไปของแมลงที่ประกอบด้วยส่วนหัว, ส่วนอก, ส่วนท้อง
ลักษณะทั่วไปของแมลงคือมีลำตัวยาวหรือค่อนข้างยาว ลำตัวทั้งสองด้านซ้ายขวามีลักษณะเหมือนกันและเท่ากัน ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายใหญ่หรือเล็กกว่า แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
ส่วนหัว (head) , ส่วนอก (thorax) และส่วนท้อง (abdomen) โดยลักษณะของอวัยวะส่วนหัวประกอบไปด้วยตา หนวดและปาก กะโหลกศีรษะมีรอยต่อหรือเส้น ใช้สำหรับแบ่งเป็นพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่
หัว ประกอบไปด้วนส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
  • ส่วนหัว ประกอบไปด้วยสันกะโหลก (Vertex) คือบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ส่วนหัวของแมลง นับตั้งแต่พื้นที่ส่วนที่อยู่ระหว่างตาทั้งสองข้างไปจนถึงด้านหลังของตา
  • ส่วนหน้า (Frons) คือบริเวณพื้นที่ที่อยู่ทางด้านหน้าของกะโหลกศีรษะของแมลง อยู่ระหว่างเส้นรูปตัว Y ที่มีลักษณะเป็นตัว Y กลับหัว ในบริเวณพื้นที่ส่วนนี้เรียกว่า "เส้นทับกะโหลกศีรษะ"
  • ส่วนริมฝีปากบน (Clypeus) คือบริเวณพื้นที่ระหว่างส่วนหน้ากับริมฝีปากส่วนบน ในส่วนนี้จะมีเส้น frontoclypeal suture เป็นตัวแบ่งออกจากส่วนหน้า
  • ส่วนแก้ม (Gena) คือพื้นที่ทางด้านข้างของกะโหลกใต้ตารวม
  • ส่วนฐานกะโหลก (Occiput) คือบริเวณพื้นที่ทางด้านหลังของกะโหลกศีรษะของแมลง ซึ่งพื้นที่ตรงจุดนี้จะแยกออกจากสันกะโหลกและแก้มอย่างชัดเจน ในส่วนนี้จะมีเส้น occipital suture เป็นเส้นแบ่ง
  • ส่วนฐานกะโหลกทางส่วนหลัง (Post Occiput) คือบริเวณพื้นที่ส่วนที่เชื่อมติดกับลำคอ และแยกออกมาจากฐานกะโหลก โดยมีเส้น post occipital suture เป็นเส้นแบ่ง
ตา ตาของแมลงมีอยู่ 2 ชนิดคือตาแบบรวมและตาเดี่ยว ตาแบบรวมของแมลงจะมี 2 ตา แต่ตาเดี่ยวจะมีจำนวนตาที่แตกต่างกันออกไปตามแมลงแต่ละชนิด และมักจะปรากฏอยู่ในแมลงทั้งในช่วงระยะฝักตัวเป็นตัวหนอน เป็นตัวอ่อนและตัวเต็มวัย แมลงแต่ละชนิดจะมีตาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมีตาเดี่ยว 3 ตาเรียงติดต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยมเหนือศีรษะ อยู่ระหว่างตารวมทั้งสองข้าง แต่ในแมลงบางชนิดก็อาจจะไม่พบว่ามีตาเดี่ยวรวมอยู่ด้วย
หนวด หนวดของแมลงจะมีอยู่ 2 เส้น ใช้สำหรับสัมผัสและดมกลิ่ม ส่วนมากหนวดของแมลงมักจะอยู่ระหว่างตารวมหรืออยู่ต่ำกว่าตารวมเพียงเล็กน้อย สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระ เพราะหนวดทั้ง 2 เส้นจะติดอยู่กับศีรษะของแมลงตรงช่องหนวด โดยมีแผ่นเนื้อเยื่อบาง ๆ เป็นตัวเชื่อมติดกันเอาไว้
ปาก ปากของแมลงมีหลายรูปแบบตามแต่ชนิดของแมลง แต่ปากแบบพื้นฐานคือปากแบบกัดกินเช่น ปากของตั๊กแตน ลักษณะปากแบบกัดกินจะมีริมฝีปากบนปิดส่วนประกอบอื่น ๆ ของปากเอาไว้ มีกรามเป็นอวัยวะที่มีลักษณะแข็งแรงสำหรับบดเคี้ยวอาหาร มีเส้นที่คล้ายกับหนวดยื่นออกมาจากปากข้างละ 2 เส้น คู่แรกคือ maxillary palps ซึ่งจะยึดติดแน่นอยู่กับฟัน และคู่ที่สองคือ labial palps ซึ่งจะยึดติดแน่นอยู่ที่ริมฝีปากล่าง และมีส่วนที่เหนือริมฝีปากบนขึ้นไป ซึ่งจะมีแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า clypeus สำหรับเป็นฐานยึดติดริมฝีปากส่วนบนเอาไว้
คอ คอของแมลงจะเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างหัวกับอก มีลักษณะอ่อนไม่แข็งเหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อแบบบาง ๆ และกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนหัวและส่วนอกของแมลง
อก อกของแมลงจะอยู่ระหว่างส่วนหัวและส่วนท้อง สามารถมองเห็นได้จากขาและปีกของแมลง เนื่องจากอกเป็นตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของขาและปีก ประกอบไปด้วยปล้องจำนวน 3 ปล้องคืออกปล้องแรก, อกปล้องกลางและอกปล้องหลัง โดยปกติแล้วอกของแมลงส่วนใหญ่ในแต่ละปล้องจะมีขา 1 คู่ ตามธรรมชาติแล้วแมลงบางชนิดจะไม่มีขา เพราะขานั้นได้เสื่อมหายไป ตามปกติแล้วขาที่ยึดติดกับอกปล้องแรกคือขาคู่หน้า ส่วนขาที่ติดกับอกปล้องกลางคือขาคู่กลาง และขาที่ติดกับอกปล้องหลังคือขาคู่หลัง ในแมลงที่เจริญเติบโตเต็มที่ ส่วนใหญ่จะมีปีกติดอยู่ที่บริเวณอกปล้องกลางกับอกปล้องหลังอย่างละคู่ ปีกในส่วนอกปล้องแรกของแมลงทุกชนิดจะเรียกว่าปีกคู่หน้า และเรียกปีกของอกปล้องหลังว่าปีกคู่หลัง
ท้อง ท้องของแมลงตามปกติแล้วจะมีทั้งหมด 11 ปล้อง แต่ปล้องที่ 11 จะมีลักษณะที่เล็กมากจนมองเห็นได้ยากหรือมองแทบไม่เห็น ทำให้มองเห็นท้องของแมลงเพียงแค่ 10 ปล้องหรือไม่เกิน 10 ปล้องเท่านั้น แต่ก็ยังมีแมลงบางชนิดที่มีจำนวนปล้องท้องน้อยกว่านี้ แมลงส่วนใหญ่เมื่อเจริญเติบโตกลายเป็นตัวโตเต็มวัย จะไม่มีส่วนขาที่บริเวณท้อง ยกเว้นแต่ในตัวอ่อนของแมลงบางชนิดเช่น หนอนผีเสื้อขาเทียม ที่มีปล้องท้องลักษณะเป็นปล้องคู่ จำนวนปล้องท้องจะแตกต่างกันออกจากตามแต่ประเภทของตัวหนอน ปลายสุดของหางจะมีแพนหาง 1 คู่ ลักษณะคล้ายด้ายเส้นยาวหรือเป็นแผ่นบาง ๆ ใส ๆ พบได้ในตัวเต็มวัย ในเพศเมียจะมีอวัยวะสำหรับวางไข่ที่บริเวณปลายสุดของท้อง ลักษณะเป็นแผ่นหรือแท่งยาวปลายแหลม สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีรูหายใจอยู่ที่ทางด้านข้างท้องของแมลง

แมลงสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆตามโครงสร้างของร่างกาย ได้เป็น
1. ผึ้ง ต่อ แตน มด (Order Hymenoptera)  
ลักษณะเด่น
-  เป็นแมลงสังคม 
-  มีปีก 2 คู่ เป็นแผ่น บางใส                                             
-  มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์   (complete metamorphosis

2. ตั๊กแตนหนวดสั้น ตั๊กแตนหนวดยาว จิ้งหรีด
(Order Orthoptera)
ลักษณะเด่น        
- มีปีก 2 คู่ คู่หน้าเป็นแผ่นหนัง
- ปีกคู่หลังเป็นแผ่นบางใส มีเส้นปีกมากมาย
-  มีปากแบบกัดกิน (chewing type)
-  มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย
          (gradual metamorphosis)
3. ด้วงปีกแข็ง (beetles) (Order Coleoptera)
ลักษณะเด่น
      - รูปร่าง รูปไข่ ยาว หนา และลำตัวนูน
      - ขาคู่หน้า เป็นแผ่นบาง  ที่ด้านขอบนอกเป็นฟัน
      - เป็นแมลงกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้เป็นดัชนีวัดความอุดมสมบูรณ์ของป่า ถ้าพบแมลงในกลุ่มนี้มากแสดง  ให้เห็นว่าป่าไม้และสัตว์ป่ายังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่
      - เป็นกลุ่มแมลงที่มีมากที่สุดในโลกประมาณ 40% ของแมลงทั้งหมด
      - มีปีก 2 คู่ ปีกคู่หน้าเป็นแผ่นแข็ง
      - มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์
(complete  metamorphosis)                                                                       
- มีปากแบบกัดกิน (chewing    type)

ด้วงในภาพนี้ก็เป็นด้วงปีกแข็งกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในครอบครัว ด้วงหนวดยาว (Family Cerambycidae) ซึ่งมี ลักษณะเด่นคือ “ หนวดยาวกว่าลำตัว ”
4. แมลงวัน ยุง เหลือบ (Order Diptera)
ลักษณะเด่น                    
- มีปีก 2 คู่ คู่หน้าเป็นปีกบางใส ปีกคู่หลังลดรูป จึงมองคล้ายมีปีกคู่เดียว
- มีปากหลายรูปแบบ เช่น ดูดกิน ดูดเลีย กัดดูด
- เป็นแมลงขนาดเล็ก มีความหลายหลายมาก
- มีความสำคัญทางด้านการแพทย์และทางเศรษฐกิจ
- มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis)
5. แมลงปอ และแมลงปอเข็ม (Order Odonata)
ลักษณะเด่น                    
-  รูปร่างเรียวยาว มีตาโตเต็มหัว หนวดสั้น
-  มีปีก 2 คู่ เป็นแผ่นบางใส  มีเส้นปีกมากมาย
- มีปากแบบกัดกิน (chewing type)
- มีการเจริญเติบโตโดเปลี่ยน แปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ์  (incomplete metamorphosis)
6. จักจั่น เพลี้ย (Order Homoptera)
ลักษณะเด่น                    
- มีปีก 2 คู่ เป็นแผ่นบาง หุบพับคล้ายหลังคา
- มีปากแบบเจาะดูด (piercing-sucking type)       
- ปากโผล่มาทางด้านท้ายของหัว (posterior)
- มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย (gradual metamorphosis)
7. มวนต่างๆ เช่น มวนจิ้งโจ้น้ำ มวนเพชฌฆาต มวนแดง (Order Hemiptera)
ลักษณะเด่น        
- มีปีก 2 คู่ ปีกคู่แรกเป็นแบบกึ่งแข็ง กึ่งบางใส คู่หลังเป็นแบบบางใส

- มีปากแบบเจาะดูด (piercing-sucking type)
- ปากโผล่มาทางด้านหน้าของหัว (anterior)
- มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย (gradual metamorphosis)

8. ผีเสื้อกลางวัน ผีเสื้อกลางคืน และผีเสื้อบินเร็ว (Order Lepidoptera)
ลักษณะเด่น                    
- มีปีก 2 คู่ เป็นแผ่นบางใส แต่ปกคลุมด้วยเกล็ดเล็กๆ หลากสี
- มีการเจริญเติบโตโดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis)
- มีปากแบบดูดกิน (sucking type)

ผีเสื้อกลางคืน (moth)
-  มีหนวดหลายแบบ
-  แต่ถ้าเป็นหนวดแบบเรียวยาว จะไม่มีติ่งที่ส่วนปลาย
ผีเสื้อกลางวัน (butterflies)
-  หนวดเรียวยาว
-  มีติ่งที่ส่วนปลาย


ที่มา http://www.sc.psu.ac.th/units/museum/knowledge2/knowledge2.html
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87
http://en.wikipedia.org/wiki/Insect